เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๙ เม.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันนี้วันพระ วันโกน วันพระ วันโกน วันแสวงหาบุญกุศลของเรา เป็นวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธ วัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธ วันพระ วันโกนจะไปหาบุญกุศลใส่หัวใจ ใส่หัวใจให้หัวใจมันมีความสุข ให้หัวใจมันมีที่พึ่งที่อาศัยไง

หัวใจเราเร่ร่อน หัวใจเร่ร่อน หัวใจที่ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย แสวงหาแต่ทางโลก คนเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันเกิดมามีชีวิต สิ่งมีชีวิตมันก็ต้องแสวงหาเพื่อความดำรงชีพ แต่ดำรงชีพด้วยความแห้งแล้ง ด้วยความแห้งแล้งด้วยไม่มีที่พึ่งที่อาศัยไง แต่ถ้าคนที่มีศาสนาประจำหัวใจ เราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในหัวใจของเรา

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่หัวใจของคนมีวุฒิภาวะมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะมาก มากคือละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้ง ทำบุญกุศลนี้เป็นเรื่องธรรมดา การเสียสละของเรา เสียสละแม้แต่การให้อภัย การระลึกถึง มีน้ำใจต่อกัน เป็นบุญกุศลของเรา ถ้าเป็นบุญกุศลของเรา มีทาน มีศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้ามันมีภาวนานะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

คนเราลืมหัวใจของตน เกิดมา เกิดมาเพราะจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตตัวนี้มันปฏิสนธิจิตมันถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้วเราได้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์นี้มา เราว่าเราเป็นมนุษย์ไง ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ๆ แต่มนุษย์มันมีหัวใจ หัวใจมันต้องมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ หัวใจคนจิตใจที่ละเอียดลึกซึ้ง เขาก็มีวุฒิภาวะของเขา เขาก็แสวงหาข้อเท็จจริงในชีวิตของเขาได้ด้วยมีสาระ

คนที่จิตใจไม่ลึกซึ้งพอ ชีวิตนี้ก็คือชีวิตนี้ ชีวิตนี้ก็คือร่างกายนี้ ชีวิตนี้ก็คือสิทธิเสรีภาพนี้ เสรีภาพนี้ก็แสวงหาเพื่อชีวิตนี้ พอเพื่อชีวิตนี้ แสวงหาขนาดไหนมันก็ไม่มีวันพอหรอก โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโลกนี้เสมอกัน เต็มกันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เพราะเหตุใด เป็นไปไม่ได้เพราะคนเราสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน คนเรามีความชอบ มีจริตนิสัยไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันอันนั้น ความแสวงหาอันนั้น ความต้องการอันนั้นมันถึงแตกต่างกัน แล้วแตกต่างกัน เราจะให้ใครเต็มล่ะ เต็มอันนี้ ไปขาดอันนู้น เต็มอันนู้น ไปขาดอันนี้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ เสมอภาคกัน เต็มเปี่ยม พอดี ไม่ล้นไม่เกินจนเกินไป สิ่งนี้อยู่ที่หัวใจของเรา ที่เรามาวัดมาวามาฟังธรรมเพื่อเหตุนี้

วัฒนธรรมที่ดีงามของเรา ถ้าวัฒนธรรมที่ดีงามของเรา พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้กตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวทีในครอบครัวของเรา พระอรหันต์ในบ้านๆ ไง เราได้ชีวิตนี้มาจากใคร เราได้ชีวิตนี้มาจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา เพราะพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ให้ชีวิตนี้มา ให้การดูแลรักษามา ให้การศึกษามา ให้ความปกป้องคุ้มครองมา ให้โอกาส นี่ไง พระอรหันต์ของเรา พระอรหันต์ในบ้านของเรานั่นแหละสำคัญมาก พอสำคัญขึ้นมา ความกตัญญูกตเวที

เวลาสงกรานต์ๆ เขาก็ให้กลับบ้านกลับเรือน กลับไปหาพ่อหาแม่ กลับไปหาปู่ย่าตายายของเรา ไปขอพร ใครให้พรเราไม่เท่ากับพ่อแม่ให้นะ พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราให้ขวัญให้พร สิ่งนี้มีคุณค่าๆ ไง ถ้ามีคุณค่าขึ้นไป สิ่งที่มีคุณค่าเป็นวัฒนธรรมของเรา วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ วันขึ้นปีใหม่ก็วันชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ก็ขอพรขอสิ่งต่างๆ นี่คือวัฒนธรรม วัฒนธรรมที่ดีงาม วัฒนธรรมที่ดีงามเป็นสิ่งที่ดีงามทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ดีงามขึ้นมา

ทีนี้พอโลกมันเจริญๆ ขึ้นมาก็สังคม สังคมก็มีสันทนาการขึ้นมา มีการละเล่น มีมหรสพสมโภชเข้ามา นี่สงกรานต์ๆ พอสงกรานต์ขึ้นมา สงกรานต์เขาให้กลับบ้านกลับเรือน มันเป็นวัฒนธรรมของเรา มันเป็นวัฒนธรรมของเรา แต่เราเอาไปเป็นเรื่องการค้า เราเอาไปเป็นเรื่องการท่องเที่ยว ชวนเชิญกันมาๆ สันดานดิบ แสดงอาการดิบๆ ออกมาไง

แต่ถ้าที่ไหนเขามีเจ้าหน้าที่ดูแล เขาตรวจตราของเขา เวลาเข้าไปแล้วเล่นสงกรานต์เพื่อเป็นความสนุกครึกครื้น เป็นความพอดี แต่ถ้าที่ไหนไม่มีการควบคุมดูแล เห็นไหม สันดานดิบ มันเอาเปรียบเขา เอาแต่ชนะคะคานกัน เอาแต่ความเห็นของตน ความเห็นของตน นั่นไง สันดานดิบ ได้แสดงออกสัญชาตญาณดิบๆ อย่างนั้น ได้แสดงออกมาแล้วก็ไปเบียดเบียนคนอื่นทั้งนั้นน่ะ การไปเบียดเบียนคนอื่น เพราะอะไร เพราะว่าสันดานดิบ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจๆ เวลาสันดานดิบนะ เป็นโอกาสพฤติกรรมที่แสดงออก แสดงออกเต็มที่ของมัน เพราะอ้างคำว่า “สงกรานต์”

สงกรานต์ เขาต้องมารองรับอารมณ์เราใช่ไหม สงกรานต์ คนอื่นเขาต้องมาให้เราได้แสดงออกความดิบเถื่อนอย่างนั้นใช่ไหม อันนั้นเป็นสงกรานต์หรือ

นี่ไง ถ้ามีวัฒนธรรมประเพณีของเรา พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เวลาลูกหลานใครไปทำความเสียหาย “พ่อแม่ไม่สั่งสอน” มันสะเทือนไปถึงพ่อถึงแม่มันหมดแหละ แล้วพ่อแม่มันสั่งสอนไหม มันสั่งสอนทั้งนั้นน่ะ แต่สั่งสอน พฤติกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่า มันจะเลวร้ายไปเรื่อยๆ เพราะอะไร ทุกคนมันเห็นแต่ตัวอย่างที่ไม่ดีไง แล้วตัวอย่างที่ดีๆ ทำไมมันไม่เห็นล่ะ

ตัวอย่างที่ดีๆ เห็นไหม ในบ้านในเรือนที่เขามีความอบอุ่น ในบ้านในเรือนที่เขาสั่งสอนของเขา ลูกหลานของเขาเป็นผู้นำชุมชน เขาเสียสละของเขา เวลาเขาเสียสละ เขาทำคุณงามความดี ไม่มองเป็นแบบอย่างล่ะ อย่างนั้นล่ะไม่เอา แต่ไอ้สันดานดิบ ไอ้เรื่องป่าเถื่อนนี่ชอบ

นี่ไง เวลามาวัดมาวา สันดานดิบจากภายนอก แล้วสันดานดิบจากหัวใจของเราล่ะ หัวใจของเรา ถ้ามันขาดสติมันก็แสดงออกอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันมีสติ มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุสสเทโว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้น

อารมณ์อารมณ์หนึ่ง ผู้ที่เป็นนักปฏิบัติ อารมณ์หนึ่งก็ภพชาติหนึ่ง ความคิดหนึ่งก็ภพชาติหนึ่ง จิตมันเสวยแล้ว มันแสดงออกตามสัญชาตญาณของมัน มันแสดงสัญชาตญาณดิบๆ มันก็ออกมาด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ มันเป็นมนุสสเทโว เป็นเทวดา เป็นพรหมขึ้นมา จิตใจมันสงบระงับขึ้นมา มันก็ภพชาติหนึ่ง คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อารมณ์หนึ่งก็ภพชาติหนึ่ง อารมณ์หนึ่งก็ภพชาติหนึ่ง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของเรา เกิดเป็นภพเป็นชาติขึ้นมา เราถึงว่ามีการเกิดไง

อารมณ์ที่มันเกิดดับๆ ในหัวใจ ถ้าคนมีสติปัญญาทัน เขาบอกความคิดนี้เร็วมากๆ เร็วมาก มีสติปัญญามันเท่าทันทั้งนั้นน่ะ มันเท่าทันความคิดของตน แล้วถ้ามีปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญามันเห็นโทษของมันไง สันดานดิบๆ อย่างนี้มันแสดงออกมาโดยความป่าเถื่อน เราเห็นแล้วเรายังรับไม่ได้เลย แล้วมันเกิดในใจของเรา มันบีบบี้ใจของเรา เรารับได้ไหม

ถ้าเรารับไม่ได้ เรามีปัญญา เราใคร่ครวญของเรา มันก็ต้องปล่อยสิ มันปล่อยด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ปล่อยขึ้นมา ปล่อยมันก็เหลือจิตล้วนๆ ไง พอจิตล้วนๆ จิตที่มันไม่ต้องพาดพิงอารมณ์สิ่งใด มันก็มีความสุขของมันได้ไง

แต่ถ้าคนไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่เคยรักษา มันต้องพางพิง จิตเหมือนน้ำในแก้ว น้ำในแก้วที่มันอยู่ในน้ำ น้ำใส เราไม่รู้ว่ามีน้ำหรือไม่มีน้ำ ถ้ามันเติมสีสิ่งใดลงไป เราก็ อ๋อ! ในแก้วมีน้ำ เพราะสีนั้นมันเจือจาง มันเห็นภาพสีนั้น

จิตของคน จิตเราอยู่ที่ไหน ความรู้สึกเราอยู่ที่ไหน แต่เวลามันโกรธ รู้ เวลามันเจ็บช้ำใจ รู้ เวลาที่มันจะเป็นอิสระขึ้นมา มันกลับไม่รู้ เห็นไหม เราถึงต้องมีลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่วัฒนธรรมของชาวพุทธ ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา เราฝึกหัดของเรา เรารักษาของเรา เราดูแลหัวใจของเรา

เราดูโลกภายนอกเห็นแล้วมันน่าสังเวช น่าสังเวชเพราะอะไร พฤติกรรมไง สภาคกรรมไง สังคมเป็นแบบนี้ไง แล้วสังคมมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัฒนธรรมประเพณีมาจากไหน วัฒนธรรมประเพณีก็มาจากพัฒนาการของสังคมนั่นแหละ สังคมที่มันดีขึ้น พัฒนาการขึ้น ชุมชนไหน ชุมชนใดที่เป็นชุมชนที่ดีๆ ชุมชนที่ดี เราก็เกิดจากสังคมนั้น มงคลชีวิตไง เกิดในประเทศอันสมควรไง เกิดในบ้านข้างเรือนเคียงมีแต่คนดีๆ ทั้งนั้นเลย โอ๋ย! มีความสุข

ไปเกิดที่ไหนมีแต่คนพาล บัณฑิตทุกข์ที่สุด ทุกข์อยู่กับคนพาล เพราะบัณฑิตมันคุยกันรู้เรื่องไง ดูสิ ข้างบ้านเรือนเคียงคุยกันรู้เรื่อง มีอะไรกระทบกระเทือนกันบ้าง มันมีอะไรกระทบกระเทือน เราคุยกัน เราปรึกษากันนะ เราให้อภัยต่อกัน นี่ไง ลิ้นกับฟันๆ การอยู่ด้วยกันมันก็กระทบกระเทือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องมีหัวใจสิ เขาไม่ชอบสิ่งใด เราก็ไม่ชอบสิ่งนั้นเหมือนกัน สิ่งที่กระทบกระเทือนเรา เราก็ไม่ชอบทั้งนั้นน่ะ แต่เราไม่ชอบ ทำไมกระทบกระเทือนคนอื่นได้ล่ะ คนอื่นก็กระทบกระเทือนไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราไม่ต้องการ เขาก็ไม่ต้องการ เราต้องการสิ่งใด เขาก็ต้องการสิ่งนั้นเหมือนกัน

สังคมใดก็แล้วแต่ ผู้ที่มาวัดมาวาต้องการความสงบ ต้องการความระงับ ต้องการค้นคว้าหาหัวใจของตนให้เจอ ข้าวของต่างๆ สิ่งที่มันมีคุณค่าๆ คุณค่าทางโลกที่เขาแสวงหากันไง ถ้าเป็นพระๆ หรือนักปฏิบัติแล้ว เขาอาศัยมันเฉยๆ แต่ไม่มีอำนาจเหนือหัวใจนี้ไง เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เราค้นหาหัวใจของเรา หัวใจมันมีค่ากว่านี้นะ

หลวงตาท่านสอนประจำ หัวดำๆ เขาเป็นหัวดำๆ นะ เขาเสียสละมาทั้งนั้นน่ะ ไอ้หัวโล้นๆ ว่ามีศีลมีธรรม เห็นสิ่งนั้นทำไมสละไม่ได้ เราสละ สละสิ่งนี้ได้ ไอ้หัวดำๆ เขายังสละของเขาได้ ไอ้หัวโล้นๆ มันทำไมสละไม่ได้ ถ้ามันสละของมันได้ สละอย่างนั้นเราฝึกหัดของเรา สละสิ่งนั้นมามันก็ไม่มีค่า พอมีค่าขึ้นมา หัวใจมันมีคุณค่ามากกว่า ต้องหัวใจที่มีคุณค่ามากกว่า หัวใจที่สูงส่งกว่า มันถึงเสียสละสิ่งนี้ได้

ถ้ามันเสียสละสิ่งนี้ได้ มันเสียสละแล้วได้อะไรขึ้นมา เสียสละแล้วได้ความปลอดโปร่ง ได้ความสุข ได้ความสงบ ได้ความระงับ แล้วสิ่งที่สงบระงับ ระงับด้วยการเสียสละอารมณ์ เสียสละ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิไง แล้วถ้าเกิดมันมีสติปัญญาขึ้นไป มันพิจารณาของมัน มันจับต้องได้ไง จับต้องได้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ ความผ่องใสนั้นมีอวิชชา ความผ่องใสนั้นมันไม่แน่นอน ความผ่องใส เดี๋ยวก็ผ่องใส เดี๋ยวก็เศร้าหมอง ความผ่องใสความเศร้าหมอง เดี๋ยวก็มีความสุข เดี๋ยวก็มีความทุกข์ สิ่งใดที่มันรู้ไม่เท่าทันมันก็เป็นความทุกข์ ถ้ามีเท่าทันมันก็เป็นความสุข แล้วถ้ามีสติปัญญาจับต้องได้ พิจารณาของมันได้ พิจารณาของมันไป ความผ่องใสๆ มันมีสิ่งใดไปทำให้มันผ่องใส ความผ่องใสมันเกิดจากที่ใด มันเกิดมาเพราะเหตุใด ทำไมมันมีที่เกิด ของสิ่งใดถ้ามันมีที่เกิด มันต้องมีที่ดับ แล้วมันจะดับ มันจะดับอย่างไรล่ะ ถ้ามันดับด้วยสติด้วยปัญญาของเรา นี่ไง ถ้าเราพัฒนาของเรา พัฒนา

มองโลก โลกทัศน์ โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ถ้าโลกุตตรปัญญา การชนะตน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รื้อเข้ามาหัวใจของเรานี้นะ ถ้ารื้อหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวเท่านั้นน่ะ เป็นครูของ ๓ โลกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์เดียวเท่านั้นนะ พระองค์เดียวเพราะอะไร

เพราะหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระเจ้าสุทโธทนะ นางมหามายา เป็นบิดา มารดา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีพ่อมีแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็มีความทุกข์ในหัวใจเหมือนกัน มีความทุกข์เพราะเป็นพระโพธิสัตว์ๆ พยายามแสวงหาไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชา ทำลายครอบครัวของมาร พญามารที่มันครอบครองหัวใจดวงนี้ ดูสิ จิตตนครๆ มันทำลายทั้งหมด แล้วมันเหลืออะไรล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาประสบการณ์อย่างนั้น เอาความจริงอันนั้นเอามาสั่งสอนเราไง

แล้วเราก็มีเหมือนกัน เราก็เป็นคนเหมือนกันไง ถ้าคนเหมือนกัน เรามาฝึกหัดของเราขึ้นมาในหัวใจดวงนี้ไง เราเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เพราะการกระทำอันนั้นมันซับสมๆ มาเป็นพันธุกรรมของจิตๆ ที่ว่าสันดานดิบ สันดานประเสริฐ สันดานที่ดีงาม มันเป็นสันดานๆๆ

แล้วสันดานอย่างนั้น เราเกิดแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงศีล ศีลธรรม ศีลธรรมก็มาขัดเกลา ถ้าเราเห็นคุณงามความดีของมันไง ถ้าไม่เห็นคุณงามความดีของมัน มันจืดชืด มันไม่สะใจ ถ้ามันสะใจต้องแสดงสัญชาตญาณสันดานดิบอย่างนั้น ถ้าแสดงสัญชาตญาณสันดานดิบอย่างนั้น ผลของมันก็คือคุกคือตารางไง ผลของมันก็น้ำตาพ่อน้ำตาแม่ไง ผลของมันก็ต้องวิ่งเต้นกันเพื่อบรรเทาทุกข์ไง เพราะว่าสันดานดิบมันแสดงแล้วมันจะมีผลอะไร

แต่เวลามันจืดมันชืด มันจืดมันชืดเพราะมันเป็นความดีงามไง ถ้าความดีงามมันประพฤติปฏิบัติขึ้นไป นี่สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่อมเกลาไง กล่อมเกลาหัวใจของคน หัวใจของคน ชาวพุทธๆ ยิ้มสยามๆ มันก็มาจากที่นี่แหละ มาจากหัวใจที่มันได้ที่พึ่งที่อาศัยนี่ไง หัวใจๆ สำคัญตรงนี้ไง ทีนี้สำคัญตรงนี้ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา

เรื่องของทานก็เรื่องของวัตถุ เรื่องของน้ำใจ เรื่องของสังคมนี่แหละ ให้อภัยต่อกัน ไอ้สันดานดิบเพราะว่ามันอารมณ์ชั่ววูบ เวลาถ้ามันไปโดนครอบครัวของมันเองมันก็จะเสียใจ คนใดก็แล้วแต่เป็นผู้เสียหาย เป็นผู้สูญเสีย ดูสิ เวลาเราเป็นผู้สูญเสีย เราช้ำใจทั้งนั้นน่ะ ไอ้ผู้ที่กระทำมันเหิมเกริม ไอ้ผู้สูญเสียมีแต่ความเศร้า แล้วความเศร้ามันมาอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนเรื่องกรรมๆ ไง

เรื่องกรรม เวลากรรม กรรมมันมีผลมาอย่างนั้นน่ะ เรื่องกรรม กรรมเก่า กรรมใหม่ เรารู้ไม่ได้ เรารู้เท่าทันไม่ได้ แต่ธรรมะสอนอย่างนั้น สอนอย่างนั้น มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ ของที่มีมา มันมีที่มาที่ไปหมดแหละ แต่เพียงแต่เรารู้ไม่เท่ามันเท่านั้นเอง ถ้าเรารู้ไม่เท่าทันมัน เราก็พยายามจะรู้เท่าทันอันนั้น แล้วก็ทิ้งหัวใจไปไง จะไปรู้เท่าอันนั้น

แต่กลับมารักษาหัวใจของตน หัวใจของตนมันต้นเหตุ ถ้าหัวใจมันต้นเหตุ มันมีเวรมีกรรมอย่างไรรักษาที่นี่ ถ้ารักษาที่นี่ สิ่งใดที่มันจะประสบพบ นี่ผลของวัฏฏะ ผลของมัน วิบากกรรม มันเป็นวิบากกรรมใช่ไหม วิบากกรรม เราก็แก้ไขของเรา ไม่ใช่วิบากกรรมแล้วเราจะมางอมืองอเท้าที่ไหน

ดูสิ เวลาพระสมัยพุทธกาลนะ ไปภาวนาอยู่ในป่า ไปเจอเสือ เสือเวลามันกัด มันกินตั้งแต่ปลายเท้าเข้าไป ท่านยังภาวนาต่อเนื่องจนถึงลำแข้ง จนไปถึงสะโพก ท่านพิจารณาถึงที่สุดแห่งทุกข์คาปากเสือ เห็นไหม วิกฤติขนาดนั้นยังใช้ปัญญาเลย วิกฤติขนาดที่อยู่ท่ามกลางปากเสือนะ ไอ้วิกฤติอย่างนั้นมันแก้ไขๆ

เราแก้ไขของเรา แก้ไขด้วยการทำคุณงามความดีไง เจ็บช้ำไหม เจ็บ ใครบ้างไม่เจ็บ เจ็บทั้งนั้นน่ะ เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ถ้าตอบสนอง โต้ตอบไปอย่างนั้นนะ สันดานดิบๆ มันได้อะไรขึ้นมา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราแก้ไขของเรา พัฒนาสังคมให้ได้ สังคมถ้าพัฒนาที่ดี ผู้นำที่ดีจะพัฒนาสังคมที่ดี

เราปล่อยปละละเลยกันมาไง เราปล่อยปละละเลยกันมาแล้วก็หลงตัวเอง ภูมิอกภูมิใจว่าวัฒนธรรมของเราสุดยอด วัฒนธรรมของเรายอดเยี่ยม ดูรอบเมืองไทยสิ เขาก็วัฒนธรรมเดียวกับเรานี่แหละ เขาไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เพราะอะไรล่ะ เพราะว่าเขาไม่มีสิ่งกระตุ้นไง แต่ของเรามันมีสิ่งกระตุ้นๆ แล้วพอกระตุ้นปีแล้วปีเล่าๆ เดี๋ยวมันจะไปมากกว่านี้

แต่ถ้าผู้นำที่ดี ถ้าสังคมที่ดีนะ เรายับยั้งกันไว้ ยับยั้งกันไว้นะ แล้วพัฒนาของเรา พัฒนาในทางศีลในทางธรรม ในทางที่ดี เห็นกันแล้วยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน อย่าตีหน้ายักษ์ใส่กัน ไม่มีประโยชน์สิ่งใดทั้งสิ้น ทำประโยชน์กับเรา

นี่พูดถึงสังคมนะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มันมาจากหัวใจของคน มันมาจากคนใฝ่ดีใฝ่ชั่ว แล้วเราจะใฝ่ดีใฝ่ชั่วไปกับเขาไหม หลวงตาท่านบอกชิงดีชิงชั่ว มันเอาชิงดีชิงเด่นตรงไหน ชิงดีชิงชั่ว ไม่มีเด่นหรอก ชั่วทั้งนั้น

แต่ถ้าเราเข้ามาในใจเรานะ เราพิจารณาตรงนั้น พิจารณาสังคมแล้ววางไว้ เราเกิดมา สภาคกรรม เราได้เกิดมาดีกว่าเราไปเกิดในสถานะอื่นๆ เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนที่การพัฒนาหัวใจของเรานี่แหละ เพราะคนเกิดมาแล้วจะมีสถานะอาชีพสิ่งใดก็แล้วแต่ ถึงที่สุดแล้วต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ไป ต้องพลัดพรากจากชีวิตนี้ไปแน่นอน แล้วการพลัดพรากจากไป เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัย นี่ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร

เรามาพัฒนาของเราก่อน เรามาฝึกหัดของเราก่อน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันจะทุกข์ยากแสนเข็ญขนาดไหน ขอดูๆ ขอดูหัวใจของเรา พัฒนามัน พัฒนามัน ถ้ามันจะเกิดอีกก็ให้มันเกิดไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป

แล้วถ้ามันทำได้ให้มันถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันเป็นไปได้ มันมีอยู่จริง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สงสัยอย่างนี้ สงสัยไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านก็สงสัย เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ แต่ท่านมีวาสนา มีอำนาจวาสนา มีบารมีของท่าน ท่านตัดสินใจเอง บอกว่า ถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วท่านก็เป็นผู้แสวงหาเอง แล้วท่านก็เป็นผู้ค้นคว้าเอง แล้วท่านก็เห็นจริงในใจของท่านเอง ท่านถึงเป็นศาสดาของเราอยู่นี่ไง เอวัง